อดกลั้นไม่ใช่เก็บกด
- พงษ์มาศ ทองเจือ

- 21 พ.ย.
- ยาว 1 นาที
ในโลกที่เร่งรีบและเต็มไปด้วยแรงกดดัน เราต่างต้องเผชิญสถานการณ์ที่ไม่สบอารมณ์อยู่บ่อยครั้ง จนใจขุ่นมัว โกรธ เจ็บปวด หรืออ่อนล้า สิ่งล้ำค่าที่จะเป็นพลังให้เราก้าวผ่านช่วงเวลาเหล่านี้ไปได้ คือ “ความอดกลั้น”
ความอดกลั้นไม่ใช่การปิดสวิตช์อารมณ์ แต่เป็นการยอมรับอารมณ์ที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา แต่เป็นการอยู่กับอารมณ์โดยที่ไม่ปล่อยให้อารมณ์นั้นลากเราไปสู่การทำร้ายตัวเองหรือทำร้ายจิตใจใคร
วิคเตอร์ อี. ฟรังเคิล (Viktor E. Frankl) จิตแพทย์แนวอัตถิภาวะนิยม ได้สรุปหลักการสำคัญนี้ไว้อย่างทรงพลังว่า “ระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นและสิ่งที่เราตอบสนอง มีช่องว่างหนึ่ง และในช่องว่างนั้นคืออิสรภาพและการเติบโตของเรา”
สำหรับผม การอดกลั้นคือการสร้าง “ช่องว่าง” นี้ขึ้นมา เป็นพื้นที่ให้เราบอกตัวเองได้ว่า ไม่ว่าชีวิตจะเจอเรื่องยากเย็นแค่ไหน “ฉันมีสิทธิ์เลือกที่จะตอบสนอง” ผู้ที่มีความอดกลั้น จึงวางตัวได้ดีแม้ในใจจะโกรธ ก้าวเดินต่อได้ในวันที่เจ็บปวด หรือเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องแม้จะหวาดกลัว
แต่ประเด็นสำคัญที่อยากชวนทุกคนทบทวนไปด้วยกันก็คือ หากความอดกลั้นงดงามและสำคัญเช่นนี้ ทำไมบางครั้งเรากลับรักษามันไว้ไม่ได้ หรือเรียกใช้มันไม่ทันท่วงที? ลองมาสำรวจสาเหตุไปพร้อมกันครับ

1. ไม่คุ้นชินกับการอยู่ร่วมกับอารมณ์ลบ
หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้เราอดกลั้นไม่ได้ คือการไม่คุ้นชินที่จะอยู่กับอารมณ์เชิงลบ เพราะเรามักเลือกที่จะเบี่ยงเบนความสนใจหรือหนีจากความรู้สึกแย่ ๆ ทันทีที่มันเกิดขึ้น ทำให้เราขาดโอกาสในการสร้างภูมิคุ้มกันทางใจ
มีคนมากมายมักจะถามผมว่า ทำไมบางคนผ่านเรื่องยากแล้วแกร่งขึ้น แต่บางคนกลับอ่อนแอลงทั้งที่เจอเรื่องแบบเดียวกัน
ถ้าเราเผชิญความรู้สึกเชิงลบด้วยความสงบ อยู่กับอารมณ์เชิงลบอย่างเข้าใจ และรู้ว่าความรู้สึกนี้ผ่านเข้ามาก็ผ่านไป การยอมรับอารมณ์นี้เองที่จะทำให้เราแกร่งขึ้น
การเร่งรีบผ่านอารมณ์เชิงลบไปอย่างรวดเร็วในลักษณะนี้อาจไม่ได้ช่วยเพิ่มความสามารถในการอดกลั้นให้กับตัวเอง
2. คาดหวังในสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับความจริง
อีกสาเหตุที่ทำให้เราอดกลั้นไม่ได้มักมาจากความคาดหวังที่เกินจริงหรือความผิดหวังในใจเราเอง
หลายครั้งเราก็เจ็บปวดสองต่อในสถานการณ์เดียวกัน เช่น ทุกข์ที่แฟนพูดจาไม่ดี และทุกข์ซ้ำจากความผิดหวังว่าทำไมวันนี้เขาไม่น่ารักในแบบที่ควรจะเป็น
เราคิดว่าคนอื่นควรเข้าใจเรา งานควรจะราบรื่น ความสัมพันธ์ควรจะเป็นเหมือนที่หวังไว้ แต่เมื่อโลกไม่เดินตามภาพในหัว ความหงุดหงิด ความผิดหวัง และความท้อแท้ก็จะปรากฏชัดอยู่ในใจ ซึ่งส่วนใหญ่เราจะเห็นสิ่งที่เราไม่ชอบค่อนข้างชัด แต่ไม่ค่อยเห็นความคาดหวังของตัวเอง พอเป็นเช่นนี้ ความอดกลั้นจึงหายไป
ในสถานการณ์เช่นนี้ การที่จะทำให้ความอดกลั้นของเรากลับมา เราต้องกลับมาทบทวนและจัดการกับความคาดหวังของตนเองในสถานการณ์นั้น ๆ อีกที
การรู้เท่าทันความคาดหวังของตนเองจึงเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความอดกลั้นอย่างแท้จริง
3. ไม่เข้าใจว่าต้องอดกลั้นไปเพื่ออะไร
หลายคนอดกลั้นไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าต้องอดกลั้นไปเพื่ออะไร
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถอดกลั้นได้เสมอเมื่อมองเห็นความหมายในสิ่งที่ตนเองกำลังต้องเผชิญ เช่น คนรักยอมอดกลั้นที่จะไม่พูดคำรุนแรงออกมาในยามทะเลาะ เพราะรู้ว่าความสัมพันธ์สำคัญกว่าการเอาชนะ หรือหัวหน้าที่ยอมอดกลั้นต่อข้อผิดพลาดของลูกน้อง เพื่อเปิดโอกาสให้เขาได้เรียนรู้และเติบโต
ความอดกลั้นที่ไม่มีเป้าหมายจะกลายเป็นภาระที่หนักหนาแทนที่จะเป็นพลัง เมื่อเราไม่รู้ว่าอดกลั้นไปเพื่ออนาคตแบบไหน อดกลั้นเพราะเราเชื่อในสิ่งใด หรือเพื่อปกป้องสิ่งสำคัญอะไรในชีวิต ความรู้สึกท้อแท้จะเข้ามาแทนที่ทันที
ดังนั้นหากเราเริ่มสูญเสียความอดกลั้นไปก็อาจถึงเวลาที่จะกลับมาทบทวนกับตัวเองว่า สิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่นั้น เรากำลังพยายามอดกลั้นไปเพื่ออะไร
4. ขาดการเติมพลัง
อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราอดกลั้นไม่ไหว คือเราขาดพื้นที่ในการหยุดและชาร์จพลังให้ตัวเอง
มนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักร เราไม่สามารถผลิตความอดกลั้นไร้ขีดจำกัดได้ ถ้าเราเหนื่อยสะสม เครียดสะสม หรือขาดเวลาอยู่กับตัวเอง ต่อให้พยายามอดกลั้นแค่ไหน เราจะทำไม่ได้อยู่ดี
เมื่อพื้นที่ภายในหดเล็กลงจนแทบไม่เหลือที่ว่างให้รับอะไรเพิ่มอีก ขีดความสามารถที่จะอดกลั้นก็จะลดลงตามไปด้วย การหยุดพัก ไปเที่ยว ไปพักผ่อน หรือสร้างพื้นที่ภายในใจให้ตัวเองได้สัมผัสกับการหยุดพัก เช่น การนั่งสมาธิ หรือ การเขียนระบายความรู้สึก จะเป็นการทำให้พื้นที่ในใจของเรากว้างขึ้นและกลับมาอดกลั้นได้ตามเดิม
หัวใจสำคัญของหัวข้อนี้ก็คือ เราให้คุณค่ากับการอดกลั้นแค่ไหน ก็ขอให้เราให้คุณค่าและให้เวลากับการพักใจตัวเองด้วยเช่นกัน
5. อดกลั้นไม่ใช่เก็บกด
อีกหนึ่งความเข้าใจที่เราควรมีคือการแยกให้ออกระหว่างการอดกลั้นและการกดอารมณ์
หากเราเคยมีประสบการณ์ เช่น “พยายามอดกลั้นแล้วนะ แต่สุดท้ายก็ระเบิด” อาจเป็นเพราะเราสับสนระหว่าง “การอดกลั้น” กับ “การกดอารมณ์”
ความอดกลั้นคือการเผชิญหน้าอย่างมีสติ แต่การกดอารมณ์คือการซ่อนมันไว้ใต้พรม เมื่อเรากดเก็บความโกรธ ความเจ็บ หรือความเสียใจซ้ำ ๆ โดยเรียกมันว่า “อดกลั้น” พลังเหล่านั้นจะสะสมจนล้น และสุดท้ายระเบิดออกมาในเวลาที่ไม่เหมาะสม
ความอดกลั้นที่ผิดวิธีจึงไม่ใช่การรับมือกับปัญหา แต่เป็นการชะลอเวลาที่ระเบิดเวลาจะทำงาน ในระดับความรุนแรงที่อาจมากยิ่งกว่าเดิม
การรู้จักแยกแยะว่า “ฉันกำลังพยายามเข้าใจ” หรือ “ฉันกำลังกดอารมณ์” จึงเป็นเรื่องสำคัญ

โดยสรุปแล้ว ความอดกลั้นคือการอยู่กับอารมณ์อย่างมีสติ และ มีช่องว่างภายในใจที่นิ่งพอให้เราสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ยาก ๆ ในโลกภายนอกได้อย่างลงตัว ความอดกลั้นเกิดขึ้นเมื่อเราเรียนรู้ที่จะอยู่กับอารมณ์ไม่สบายใจโดยไม่ผลักไส รู้เท่าทันความคาดหวังของตัวเอง เข้าใจความหมายในสิ่งที่กำลังทำ ให้เวลากับการพักและชาร์จพลังของตัวเอง และทำให้แน่ใจว่าเรากำลังอดกลั้นจากความพยายามที่จะเข้าใจ ไม่ใช่ความพยายามที่จะกดอารมณ์ลงไป
บางทีความอดกลั้นที่เราตามหา ไม่ได้อยู่ไกลเลย มันอาจอยู่ที่การให้พื้นที่กับชีวิตและกับตัวเองมากพอ ผมหวังบทความนี้จะช่วยจุดประกายความเชื่อของทุกคนว่า เรามีความสามารถของความอดกลั้นอยู่ในตัวอยู่แล้ว ลองให้เวลากับตัวและค่อย ๆ ทำให้พื้นที่แห่งความอดกลั้นในใจเราเติบโตขึ้นในปีนี้ไปด้วยกันนะครับ



