top of page

คุณมีพ่อแบบไหน ไม่สำคัญเท่าคุณอยากเป็นพ่อแบบไหน

  • รูปภาพนักเขียน: พงษ์มาศ ทองเจือ
    พงษ์มาศ ทองเจือ
  • 2 วันที่ผ่านมา
  • ยาว 1 นาที

คำว่า “พ่อ” ในหัวใจของแต่ละคน คงมีภาพจำและประสบการณ์ที่หลากหลายแตกต่างกันออกไป บางคนมีความทรงจำที่งดงาม อบอุ่น พ่อคือใครบางคนที่ให้เราได้พักพิงในวันที่เหนื่อยล้า และคอยปกป้องเราในวันที่เรายังปกป้องตัวเองไม่ได้ แต่ภาพของพ่อสำหรับใครอีกหลายคน อาจเป็นชายที่เสียงดัง มีใบหน้าบึ้งตึง น่าหวาดกลัว หรือเต็มไปด้วยประสบการณ์ที่ไม่น่าจดจำ ท้ายที่สุดสำหรับบางคน อาจไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพ่อเลยเพราะไม่เคยได้พบหน้า วันพ่อจึงเป็นวันที่บางคนยิ้มกว้างอย่างมีความสุข เป็นวันของการมอบดอกไม้ แต่บางคนกลับยิ้มทั้งน้ำตา อยากหลีกหนีและเฝ้ารอให้วันนี้ผ่านพ้นไปไว ๆ ทุกเรื่องราวล้วนเป็นความจริงของใครสักคน แต่จุดร่วมที่ทุกเรื่องราวมีตรงกันคือ “พ่อ” คือส่วนหนึ่งของการประกอบสร้างให้เรา “เป็นตัวเรา” ในวันนี้


ปฏิเสธไม่ได้ว่าช่วงเวลาที่มีอิทธิพลต่อการสร้างตัวตนของเราที่สุด คือช่วงวัยเด็กจวบจนเข้าสู่วัยรุ่น ซึ่งโดยธรรมชาติแล้ว ตัวเราที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะย่อมต้องพึ่งพาพ่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ภารกิจแรกเริ่มของผู้เป็นพ่อ จึงเปรียบเสมือนการวางรากฐานทางอารมณ์ให้แก่ลูก หากเราเติบโตมากับความรัก ความรู้สึกมั่นคง และการถูกปกป้องดูแล บ้านคงเป็นสถานที่ที่น่าอยู่ พ่อคงเป็นบุคคลที่น่ากอดที่สุด และเราย่อมเติบโตมาพร้อมกับรากฐานทางจิตใจที่แข็งแรง แต่ในทางกลับกัน หากพ่อไม่ได้เป็นพื้นที่ปลอดภัย ไม่ได้ปกป้อง หรือไม่ได้มอบความรัก แม้จะสร้างความเจ็บปวด แต่สิ่งนี้กลับกลายเป็นแรงผลักดันให้หลายคนต้องสร้างรากฐานทางจิตใจที่มั่นคงด้วยตนเองผ่านพื้นที่อื่น ๆ แทน ไม่ว่าจะเป็นบุคคลอื่นในครอบครัว หรือเพื่อนฝูงรอบข้าง


ree

เมื่อเราค่อย ๆ เติบโตขึ้น อีกหนึ่งหน้าที่สำคัญของพ่อ คือการพาเราออกไปเผชิญโลกกว้าง เพื่อทดลองและท้าทายสิ่งใหม่ ๆ พ่อของใครหลายคนผลักดันให้ลูกออกไปเติบโต ให้ลองผิด ลองถูก ลองพลาด และลองสู้ โดยมีพ่อคอยให้กำลังใจและประคับประคองอยู่เคียงข้าง ทว่าพ่อบางคนกลับผลักลูกออกไปสู่โลกกว้างพร้อมกับความคาดหวัง ความเข้มงวด และความกดดัน เป็นการผลักไสด้วยคำพูดที่บั่นทอนจนบางคนเผลอเรียนรู้ไปว่า "ถ้าไม่สู้ ถ้าทำได้ไม่ดี หรือถ้าผลลัพธ์ออกมาแย่ พ่อจะผิดหวังและรอซ้ำเติม" การผลักลูกออกไปสู่โลกกว้างบนพื้นฐานของความรักที่พร้อมประคับประคอง กับการผลักออกไปเพราะความคาดหวังให้ต้องสำเร็จ จึงส่งผลลัพธ์ที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะแม้ลูกหลายคนจะล่วงเลยเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ที่ดูแลตัวเองได้แล้ว แต่ลึก ๆ ก็ยังคงใช้ชีวิตอย่างกดดัน พยายามพิสูจน์ตัวเองให้พ่อชื่นชม และพยายามใช้ชีวิตอย่างระแวดระวังเพื่อไม่ให้พ่อซ้ำเติมความผิดพลาดดังเช่นในอดีต


เมื่อผ่านการวางรากฐานทางอารมณ์และการเผชิญโลกกว้าง ก็มาถึงช่วงเวลาของการตระหนักถึงคุณค่าในตนเอง เด็กทุกคนล้วนเกิดมาพร้อมความหวังลึก ๆ ว่าพ่อจะมองเห็นและภาคภูมิใจในตัวเขา การทุ่มเททำทุกอย่างเพียงเพื่อหวังจะได้ยินคำว่า “เก่งมากลูก” ก็เพียงพอที่จะสร้างคุณค่าในใจให้เกิดขึ้นทันที ในวันที่คะแนนสอบไม่ดี หากมีพ่อคอยลูบหัวเบา ๆ แล้วบอกว่า “ไม่เป็นไร” ความผิดพลาดนั้นจะกลายเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แค่สายตาของพ่อก็ทำให้เราเชื่อมั่นว่าตัวเองมีค่าอย่างมหาศาล แต่ในมุมกลับกัน ถ้าพ่อไม่เคยมองมาที่เราด้วยความภูมิใจ ไม่เคยให้กำลังใจในวันร้าย ๆ ไม่เคยชื่นชมในวันดี ๆ หรือกลับตั้งคำถามว่า “ทำไมทำได้แค่นี้” คุณค่าของเราย่อมสั่นคลอน และแม้จะได้คำชมจากเพื่อน จากครู หรือจากใคร ก็ไม่อาจทดแทนส่วนที่ขาดหายจากการที่พ่อมองไม่เห็นค่าได้เลย


ท้ายที่สุด นอกจากการวางรากฐาน การพาไปเผชิญโลก และการเป็นปัจจัยกำหนดการรับรู้คุณค่าในตนเอง ทุกสิ่งที่พ่อทำและทุกอย่างที่พ่อเป็น ล้วนเป็นการสอนผ่านการ “เป็นแบบอย่าง” พ่ออาจไม่ได้พร่ำสอนนิยามของความรัก แต่พ่อทำให้ประจักษ์ว่าความรักที่ดีเป็นเช่นไร พ่อใช้ชีวิตอย่างสัตย์ซื่อ แบ่งปัน เสียสละ และทำประโยชน์แก่ผู้คนอย่างไร นั่นคือสิ่งที่จะหลอมรวมเข้ามาอยู่ในตัวเรา แต่หากพ่อไม่ได้ใช้ชีวิตที่งดงามเช่นนั้น พ่อก็ยังคงเป็นต้นแบบให้เราอยู่ดี เพียงแต่เป็นต้นแบบในฝั่งตรงข้าม ซึ่งทำให้เราตระหนักอย่างหนักแน่นว่าไม่อยากเติบโตไปเป็นเช่นนั้น ผมได้พบเจอผู้คนมากมายที่แบ่งปันว่า “ฉันเกลียดพ่อที่เจ้าชู้และทำร้ายแม่ ฉันเลยตั้งใจจะรักเดียวใจเดียวและดูแลคนที่ฉันรักอย่างเต็มที่” หรือ “ฉันเกลียดพ่อที่คดโกงและเอาเปรียบคน ดังนั้นชีวิตนี้ฉันจะไม่โกงใคร” พ่อที่ทำให้เราเจ็บปวด ก็ได้มอบบทเรียนที่ลึกซึ้งที่สุดให้เราเช่นกัน นั่นคือบทเรียนที่ว่า “จงเติบโตมาเป็นคนในแบบที่เราจะชอบตัวเอง และอย่าเป็นเหมือนพ่อเลย”


ree

ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมา ไม่ได้มีเจตนาจะโจมตีของการเป็นพ่อของใคร แต่ผมอยากส่งต่อแรงบันดาลใจถึงคนที่กำลังอยู่ในบทบาทของพ่อว่า โลกภายในของลูกคุณ ไม่ว่าจะเป็นความมั่นคงทางอารมณ์ คุณค่า และมุมมองที่มีต่อตนเอง ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับว่า “คุณอยู่กับลูกอย่างไร” สำหรับคนที่มีพ่อที่แสนดีในความทรงจำ ขอให้คุณใช้วันนี้ทบทวนช่วงเวลาดี ๆ ที่ได้สร้างร่วมกันมา แต่สำหรับคนที่เติบโตมากับพ่อที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบนัก ผมอยากชวนให้ทุกท่านใช้วันพ่อปีนี้ โอบกอดตัวเองให้แน่น คุณไม่จำเป็นต้องวัดคุณค่าตัวเองผ่านเกณฑ์ของพ่ออีกแล้ว คุณไม่ต้องกดดันให้ตัวเองเก่งเพื่อพิสูจน์ให้ใครเห็น เพราะคุณมีค่าในแบบของตัวคุณเอง


ลองถามใจตัวเองด้วยคำถามง่าย ๆ สัก 2 ข้อดูครับ คือ "คุณชอบตัวเองในวันนี้ไหม?" และ "มีใครที่อยู่ข้าง ๆ ที่ชอบความเป็นคุณในวันนี้บ้าง?" ถ้าคำตอบคือ คุณก็พอจะชอบตัวเองอยู่นะ และคุณก็มีคนที่รักคุณในแบบนี้ นั่นแปลว่าคุณไม่ได้เติบโตมาอย่างผิดพลาด แต่คุณได้เติบโตผ่านความไม่สมบูรณ์แบบมาได้อย่างงดงาม ส่วนชีวิตต่อจากนี้ หากพ่อคือจุดเริ่มต้น การจะเดินต่อไปทางไหน... เราคือผู้เลือกเส้นทางชีวิตของตัวเอง



ดร.พงษ์มาศ ทองเจือ
นักจิตวิทยาการปรึกษา

โนอิ้งมายด์เซ็นเตอร์
ศูนย์บริการการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและการส่งเสริมสุขภาวะ

ปรึกษาปัญหาชีวิตและปัญหาสุขภาพจิต
ติดต่อทำนัดได้ที่ 0654154417

©2017 KNOWING MIND CENTER

bottom of page