top of page

ในวันที่พระจันทร์เป็นเพียงก้อนหินที่ลอยได้

  • รูปภาพนักเขียน: สมภพ แจ่มจันทร์
    สมภพ แจ่มจันทร์
  • 16 ธ.ค.
  • ยาว 1 นาที

ในค่ำคืนที่เงียบสงัด ลูกชายคนโตของผมหยิบ Animal Farm ของ จอร์จ ออร์เวล (George Orwell) ฉบับการ์ตูนขึ้นมาอ่าน เขาบอกว่ายังไม่ง่วง ผมจึงขยับที่ว่างข้างตัวให้เขาได้นั่งอ่านหนังสือ ส่วนผมนั่งทำงานเงียบ ๆ อยู่เคียงกัน เป็นภาพที่น่าชื่นใจเมื่อเห็นเด็กวัยเจ็ดขวบจดจ่ออยู่กับวรรณกรรมชั้นยอดเรื่องนี้ ตัวผมเองเคยอ่าน Animal Farm เมื่อนานมาแล้ว น่าจะเป็นสมัยมหาวิทยาลัย รายละเอียดต่าง ๆ เลือนรางไปตามกาลเวลา จำได้เพียงเค้าโครงเรื่องของบรรดาสัตว์ในฟาร์ม นำโดยหมูชื่อสโนว์บอลและนโปเลียน ที่ลุกฮือขึ้นมาปฏิวัติยึดอำนาจจากเจ้าของฟาร์มเพื่อปกครองกันเอง แต่ท้ายที่สุด อำนาจนั้นกลับกัดกินให้พวกมันฉ้อฉล ไม่ต่างจากมนุษย์ที่พวกมันเคยขับไล่


ผมตั้งใจว่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม จะหยิบหนังสือฉบับดั้งเดิมของออร์เวลล์ให้ลูกอ่าน หวังลึก ๆ ว่าเมื่อวันนั้นมาถึง เขาจะยังคงมีความสนใจใคร่รู้หลงเหลืออยู่ หรือหากเขาไม่สนใจเล่มนี้แล้ว ผมก็หวังเพียงว่าเราจะมีวรรณกรรมสักเล่มเป็นเพื่อนข้างใจ ในคืนที่เขานอนไม่หลับและพ่ออาจไม่ได้อยู่เคียงข้างอีกต่อไป เพราะการอ่านวรรณกรรมนอกจากจะมอบความรื่นรมย์แล้ว จุดมุ่งหมายที่ลึกซึ้งกว่าคือการช่วยให้เราเข้าใจชีวิตและเข้าใจตนเอง แต่สำหรับคืนนี้ ผมคงจะดีใจที่สุดหากความอยากรู้อยากเห็นของลูก จะช่วยผลักดันให้เขาอ่านหนังสือจนจบเล่มได้ด้วยตัวเอง โดยที่ผมไม่ต้องเจ็บคอจากการอ่านออกเสียงให้ฟัง ในขณะที่ภรรยาและลูกชายคนเล็กหลับสบายกันไปหมดแล้ว


ree

เชื้อไฟสำคัญของการเรียนรู้คือความสนใจใคร่รู้ มันคือแรงผลักดันที่ทำให้เด็กคนหนึ่งคว้าหนังสือขึ้นมาอ่านด้วยตนเอง ทั้งที่ก่อนหน้านี้พ่อแม่พยายามยัดเยียดแทบตายก็ไม่เป็นผล แถมยังจุดประกายคำถามมากมายในใจเขา แต่น่าเสียดายที่เปลวไฟแห่งความสงสัยนี้มักจะมอดลงเมื่อเราเติบโตขึ้น ยิ่งอายุมากขึ้น เรากลับยิ่งรู้สึกอัศจรรย์ใจกับสิ่งรอบตัวน้อยลง คำถามที่ว่า "ทำไมสิ่งต่าง ๆ ถึงเป็นอย่างที่มันเป็น?" ถูกแทนที่ด้วยคำตอบสำเร็จรูปที่เราจดจำไว้ราวกับรู้จักโลกใบนี้ดีพอแล้ว เราเริ่มชาชินจนความเพลิดเพลินฉาบฉวยดึงดูดใจเราได้ง่ายกว่าความมหัศจรรย์ที่ซ่อนอยู่ในความธรรมดาสามัญ


วันหนึ่งลูกชายคนเล็กวัยสี่ขวบเห็นชายชราขาเดียวเดินผ่านมาพร้อมไม้ค้ำยัน เด็กน้อยเอ่ยถามด้วยแววตาใสซื่อว่า “ขาจะงอกขึ้นมาใหม่หรือเปล่าครับ?” พวกเราที่เป็นผู้ใหญ่คงไม่กล้าเอ่ยถามเช่นนั้น เพราะเรา "รู้ดี" ว่าขาที่ขาดไปไม่มีวันงอกขึ้นมาใหม่ แต่ในโลกของเด็กน้อย อวัยวะที่ขาดหายดูเหมือนจะงอกใหม่ได้เสมอ ผมเพิ่งตัดผมสั้นไปเมื่อเดือนก่อน ตอนนี้กลับยาวเท่าเดิมแล้ว หรือเล็บมือเล็บเท้าที่แม่เพิ่งจับตัดอย่างทุลักทุเล ผ่านไปไม่นานก็กลับมายาวเฟื้อย แล้วทำไมขาที่ขาดไปถึงจะงอกขึ้นมาใหม่ไม่ได้ล่ะ? อีกไม่นานลูกชายผมคงจะเข้าใจความจริงข้อนี้ และเขาคงเลิกถามคำถามนี้เมื่อพบเห็นคนพิการ เขาจะเข้าใจความจริงของชีวิตมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็จะสูญเสียดวงตาที่มองเห็นความเป็นไปได้ของปาฏิหาริย์ไปเช่นกัน


ในบทความ Seeing ของ แอนนี ดิลลาร์ด (Annie Dillard) นักเขียนชาวอเมริกัน เธอเปรียบความน่าอัศจรรย์ของโลกว่าเหมือนเหรียญเพนนีที่ถูกโปรยไว้เป็นของขวัญให้เปล่า มีเพียงผู้ที่สนใจก้มลงมองเท่านั้นจึงจะเห็น “ว่ากันว่าธรรมชาติมักซ่อนเร้นสิ่งต่าง ๆ ด้วยท่าทีที่ไม่ยี่หระ และว่ากันว่าการมองเห็นคือของขวัญที่มอบให้อย่างจงใจ คือการเปิดเผยความลับของนางระบำผู้พร้อมจะสลัดผ้าคลุมเจ็ดชั้นทิ้งไปเพื่อสายตาของฉันเพียงผู้เดียว” แต่การ "มอง" อาจไม่ทำให้เรา "เห็น" ความงามของโลกรอบตัวเสมอไป ขึ้นอยู่กับว่าเรามองด้วยสายตาแบบไหน


อองรี มาติส (Henri Matisse) ศิลปินชาวฝรั่งเศส เชื่อว่าเราจำเป็นต้องรักษาความสดใหม่ในการมองโลกเอาไว้ หากเราสูญเสียสายตาแบบเด็กที่มองเห็นความงามและความแปลกใหม่ เราก็จะสูญเสียความเป็นศิลปินและการเข้าถึงความจริงของธรรมชาติ แล้วการมองโลกด้วยสายตาของเด็กเป็นอย่างไร? ผมจินตนาการว่ามันคงคล้ายกับการที่มนุษย์ต่างดาวเดินทางมาเยือนโลก พวกเขามองดูสิ่งรอบตัวโดยปราศจากถ้อยคำนิยามสิ่งที่เห็น หรือคล้ายคนตาบอดที่ได้รับการผ่าตัดให้มองเห็นเป็นครั้งแรก ผู้มาเยือนเหล่านั้นคงทำได้แค่บรรยายภาพตรงหน้าอย่างตรงไปตรงมา และคงมีคำถามมากมายตามมาว่า ทำไมสิ่งที่เห็นจึงเป็นเช่นนั้น


ree

ย้อนกลับไปในค่ำคืนหนึ่งเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ผมกับน้อง ๆ เคยเบียดกันอยู่ที่เบาะหลังรถพ่อ พวกเราเหม่อมองพระจันทร์ดวงโตที่ลอยเด่นกลางฟ้า และรู้สึกตื่นเต้นเมื่อพบว่าในขณะที่รถเคลื่อนไป เจ้าพระจันทร์ดวงนั้นก็เคลื่อนตามเราไปด้วยราวกับมันมีชีวิต มันเฝ้าติดตามเราไปทุกหนทุกแห่ง บางขณะเราคิดว่าพ่อขับหนีมันพ้นแล้ว แต่อีกประเดี๋ยวเดียว มันก็โผล่มาทักทายเมื่อรถเลี้ยวผ่านแยกถัดไป เราไม่รู้ว่ามันต้องการอะไร แต่ที่แน่ ๆ คือ มันช่วยให้เด็กน้อยสามคนเพลิดเพลินในยุคสมัยที่ในรถยนต์ไม่มีความบันเทิงอื่นใด


เมื่อผมกลายเป็นพ่อคนและขับรถฝ่าความมืดโดยมีลูกชายสองคนนั่งอยู่ด้านหลัง ผมอดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงตัวเองในวัยนั้น ลูก ๆ ชวนผมดูพระจันทร์แล้วบอกว่ามันกำลังไล่ตามรถของเรา ไม่ต่างจากที่ผมเคยรู้สึก ไม่น่าเชื่อว่าครั้งหนึ่งในชีวิต การมองดูพระจันทร์เคยเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ก่อนที่กาลเวลาจะปรับสายตาของเราให้เห็นมันเป็นเพียงก้อนวัตถุที่ลอยอยู่บนฟ้า และวิทยาศาสตร์ก็เข้ามาอธิบายความรู้สึกอัศจรรย์ใจนั้นว่าเป็นเพียงปรากฏการณ์พารัลแลกซ์จากการเคลื่อนที่ (Motion Parallax) ความจริงคือก้อนหินก้อนนั้นลอยนิ่งห่างจากโลกหลายแสนกิโลเมตร


อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) เคยกล่าวไว้ว่า “การใช้ชีวิตมีเพียงสองแบบ แบบหนึ่งคือมองว่าไม่มีสิ่งใดเป็นปาฏิหาริย์เลย อีกแบบคือมองว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นปาฏิหาริย์” น่าเสียดายที่ตอนเป็นเด็ก เราเคยใช้ชีวิตแบบหลังกันมาก่อน แต่คนส่วนใหญ่กลับเปลี่ยนไปใช้ชีวิตแบบแรกเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เป็นไปได้ว่าลึก ๆ แล้วผู้ใหญ่อย่างเรารู้สึกโหยหาช่วงเวลาที่โลกยังเต็มไปด้วยสิ่งน่าอัศจรรย์ และอยากได้สายตาคู่นั้นกลับคืนมาอีกครั้ง... เหมือนกับที่ผมกำลังมองผ่านแววตาของลูกชายในตอนนี้



สมภพ แจ่มจันทร์
นักจิตวิทยาการปรึกษา

โนอิ้งมายด์เซ็นเตอร์
ศูนย์บริการการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและการส่งเสริมสุขภาวะ

ปรึกษาปัญหาชีวิตและปัญหาสุขภาพจิต
ติดต่อทำนัดได้ที่ 0654154417

©2017 KNOWING MIND CENTER

bottom of page