อีกไม่กี่วันปี 2024 ก็จะผ่านมาครบหนึ่งเดือนแล้ว ชีวิตของทุกท่านตอนนี้เป็นยังไงกันบ้างครับ ผมเองเพิ่งเอาชนะอาการผัดผ่อนเรื้อรัง ลุกขึ้นมาลงมือเขียนบทความ หลังจากที่ไม่ได้เขียนอะไรลงเพจมาพักใหญ่
ตอนเริ่มต้นปีเป็นช่วงเวลาที่เรามักจะตั้งเป้าหมายให้กับตนเอง มันเป็นช่วงเวลาที่ความมุ่งมั่นตั้งใจของเราพุ่งสูงพร้อมกับความหวังที่เต็มเปี่ยมว่าเป้าหมายที่ตั้งใจไว้จะประสบผลสำเร็จ
แต่ก็อย่างที่เรารู้กัน ความตั้งใจเปลี่ยนแปลงในตัวเองในช่วงปีใหม่นั้นไม่ต่างอะไรจากลมหนาวที่พัดมาเยือนเพียงชั่วคราวและจากไปโดยไม่ทันรู้ตัว ความหวังคล้ายเทียนซึ่งถูกจุดขึ้นท่ามกลางลมแรง เปล่งแสงได้ไม่นานก่อนที่จะดับลงและพาเรากลับสู่ความมืดมิดดังเดิม
ปณิธานปีใหม่ (New Year’s Resolution) ของเรามักถูกตั้งขึ้นบนความคาดหวังที่เกินจริง เพราะอะไร ๆ ที่เรียบง่ายและธรรมดานั้นไม่น่าสนใจและไม่คู่ควรจะนำมาตั้งเป็นเป้าหมาย เราจึงมักสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเราเชื่อว่าจะทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปหากเราทำได้สำเร็จ
แต่สิ่งที่เกินจริงมักจะไม่ยั่งยืน และสิ่งที่ไม่ยั่งยืนพาเรากลับสู่ความจริงที่ไม่น่าพิศมัยว่าตัวเรายังเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือความสิ้นหวังอีกครั้งว่าไม่มีอะไรเปลี่ยน และรอคอยความหวังในปีใหม่ถัดไป
เราตั้งเป้าหมายแล้วล้มเหลวจากนั้นก็ตั้งเป้าหมายใหม่ วนเวียนอยู่แบบนี้ในแต่ละปี คล้ายซิซีฟัสที่ถูกทวยเทพลงโทษให้กลิ้งหินขึ้นภูเขาจากนั้นก็กลิ้งลงมาแล้วกลิ้งขึ้นไปใหม่ชั่วนิจนิรันดร์
ผมเรียนรู้จากความล้มเหลวของปณิธานปีใหม่ของตนเองมายาวนานของ รวมถึงจากประสบการณ์ของคนรอบตัวและผู้มาปรึกษา เราล้วนเริ่มต้นด้วยความตั้งใจที่ดี แต่สุดท้ายก็ลงเอยด้วยความล้มเหลวแบบเดิม ๆ
เรายังคงเป็นคนที่กินตามใจปากทั้งที่ตั้งใจจะกินอาหารที่มีประโยชน์เพื่อให้สุขภาพดีขึ้น / เรายังคงเป็นคนที่ผัดวันประกันพรุ่งทั้งที่ตั้งใจจะทำอะไร ๆ ให้เสร็จตามกำหนดเพื่อที่ชีวิตจะเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น / เรายังคงเป็นคนรักที่พูดจาไม่คำนึงถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายทั้งที่ตั้งใจจะพูดจาดี ๆ ต่อกันเพื่อรักษาความสัมพันธ์ให้ยั่งยืน / เรายังคงเป็นพ่อแม่ที่ใช้อารมณ์กับลูกทั้งที่ตั้งใจจะควบคุมตัวเองให้มากกว่านี้เพื่อให้ลูกมีสุขภาพจิตที่ดี…
ผมสามารถยกตัวอย่างความตั้งใจดีได้อีกมากมาย แต่ไม่ว่าจะหยิบยกเรื่องใดขึ้นมา ทุกเรื่องล้วนลงเอยที่เดียวกันคือความล้มเหลว

ผมพบว่าการที่เราไปไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ไม่ได้มาจากการที่เราตั้งใจไม่มากพออย่างที่เราชอบกล่าวโทษตัวเอง แต่ปัจจัยสำคัญอยู่ที่ตัวเป้าหมายเองและสิ่งที่เราจำเป็นต้องทำเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น ซึ่งไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงของชีวิตเรา
เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง ลุงเบนของปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ไม่ได้กล่าวไว้ แต่ไม่ว่าใครจะกล่าวไว้ก็ตาม ความรับผิดชอบที่ใหญ่เกินกำลังของเราที่จะแบกรับไหว ก็ย่อมร่วงหล่นลงมาในที่สุด
เรามักมองเห็นแต่สิ่งที่ตัวเองควรทำเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย แต่เรากลับมองไม่เห็นว่าเราต้องอาศัยปัจจัยอะไรบ้างที่จะช่วยให้เราลงมือทำมันได้จริง นอกจากความพยายามที่เราคาดหวังให้ตัวเองมีให้มากพอ แต่ก็ไม่เคยพอสักที
ขยายความให้เห็นภาพมากขึ้นคือ สมมติว่าคุณมีเป้าหมายอยากให้ตัวเองมีรูปร่างที่ดี คุณอาจนึกถึงนายแบบหรือนางแบบสักคนจากโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่พวกเขาไม่ได้ทาน ซึ่งมีรูปร่างได้สัดส่วนอย่างที่คุณปรารถนา นี่คือสิ่งที่เรียกว่าเป้าหมาย
เพื่อจะบรรลุเป้าหมายนี้ คุณจึงสร้างรายการสิ่งที่คุณควรทำ เป็นต้นว่าคุณควรทานอาหารแบบควบคุมแคลอรี่ (หรือจะคีโตฯ พาลิโอ โลว์คาร์ป เลือกมาสักอย่าง) ไปออกกำลังกายที่ยิมห้าวันต่อสัปดาห์ (ถ้าจะให้ดีควรจ้างเทรนเนอร์ด้วย) นอนให้ได้วันละ 8 ชั่วโมง (ต้องเข้านอนก่อนห้าทุ่มด้วยนะ) ไปจนถึงดูแลตัวเองไม่ให้เครียดจนเกินไป เดี๋ยวร่างกายสะสมไขมันเพิ่ม และอื่น ๆ อีกมากมาย
คุณวาดฝันว่าหากทำตามรายการเหล่านี้ได้สำเร็จ คุณน่าจะมีรูปร่างที่ได้สัดส่วนเช่นเดียวกับนายแบบหรือนางแบบที่คุณเห็นจากโฆษณาอาหารเสริม แต่คุณก็ฝันกลางวันอยู่ได้ไม่นาน เพราะความจริงจะมาเคาะประตูปลุกคุณให้ตื่นขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว
การสร้างรายการที่ควรทำไม่ใช่เรื่องยาก แต่มันยากตรงการจะมีปัจจัยที่จำเป็นในชีวิตมากพอที่จะช่วยให้เราทำตามรายการเหล่านี้ได้ทั้งหมด และถึงแม้จะเลือกทำแค่บางอย่าง มันก็อาจเป็นเรื่องที่หนักเกินกำลังที่จะทำได้จริงอยู่ดี ถ้ามันไม่สอดคล้องกับชีวิตของคุณ
การที่นายแบบหรือนางแบบในโฆษณาสามารถดูแลรูปร่างได้เป็นอย่างดีนั้น พวกเขาไม่ได้อาศัยแค่ความพยายามเพียงอย่างเดียวอย่างแน่นอน แต่ยังต้องมีปัจจัยสนับสนุนมากมายที่ช่วยให้พวกเขาทำสิ่งจำเป็นต้องทำเพื่อดูแลรูปร่างให้ดี ซึ่งมันคือสิ่งที่คุณไม่มีทางเห็น นอกจากอาหารเสริมที่พวกเขาอวดอ้าง
ในทางกลับกัน หากคุณเราตั้งต้นที่ปัจจัยที่ตัวเองมี และพิจารณาความเป็นไปได้ของเป้าหมายที่สอดคล้องกัน คุณก็มีโอกาสที่จะทำสำเร็จมากขึ้น โดยที่อาศัยความพยายามน้อยลง ผมเรียกมันว่าเป้าหมายที่ดีพอ
เป้าหมายที่ดีพออาจไม่ใช่เป้าหมายที่ดีที่สุด มันไม่ใช่เป้าหมายที่จะเปลี่ยนชีวิตถ้าทำได้สำเร็จ แต่มันคือเป้าหมายที่สอดคล้องกับชีวิต ที่จะทำให้เรารู้สึกว่าเราดีพอในการใช้ชีวิตแต่ละวัน
ในปีนี้ แทนที่จะตั้งปณิธานปีใหม่ที่เกินจริง ผมหันมาตั้งปณิธานวันนี้ (Today’s Resolution) แทนที่จะตั้งเป้าหมายที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้ในหนึ่งปี ผมขอตั้งเป้าหมายที่ดีพอในแต่ละวันสำหรับตัวเอง
บทความที่นำเสนอแนวทางตั้งเป้าหมายมีมากพอแล้ว ผมคงไม่ต้องเขียนเพิ่มอีกให้เสียเวลาทุกท่านในการอ่าน และที่จริงการอ่านบทความนี้มาถึงตอนนี้ก็คงจะใช้เวลาของทุกท่านไปมากพอแล้ว (ในกรณีที่อ่านมาถึงตรงนี้อ่ะนะครับ) ผมจึงไม่ขอเสนอแนวทางใด ๆ แต่อยากแบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวในช่วงต้นปีแบบสั้น ๆ เพื่อให้เห็นภาพว่าปณิธานวันนี้และเป้าหมายที่ดีพอนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร
เป้าหมายหลักเรื่องหนึ่งของผมคือ การเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจศาสตร์และศิลป์ของชีวิตให้มากขึ้น หนึ่งในสิ่งที่อยู่ในรายการที่ผมต้องทำคือการอ่านหนังสือ ซึ่งผมมักกำหนดจำนวนหนังสือที่คิดว่าตัวเองควรอ่านในแต่ละเดือน โดยส่วนใหญ่คือ 10 เล่มต่อเดือน
ทุกท่านคงคาดเดาได้ว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร ผมมีไฟมุ่งมั่นอ่านต่อเนื่องได้หลายเล่มในช่วงแรก ก่อนที่จะลดน้อยลงเรื่อย ๆ กระทั่งบางเดือนอ่านไม่จบสักเล่ม และก็กลับมาตั้งเป้าหมายเดิมในปีถัดไป
ปีนี้รายการที่ต้องทำเพื่อเพิ่มพูนความรู้ยังเป็นการอ่านหนังสือเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ต่างไปคือผมกำหนดเป้าหมายในการอ่านแค่ในระดับดีพอคืออ่านหนังสือทุกวัน วันละกี่หน้าก็ได้ และตั้งปณิธานของวันนี้ไว้ว่า ว่างเมื่อไหร่ก็หยิบมาอ่านเท่าที่อยากอ่าน
บางครั้งผมอ่านขณะรถติดไฟแดง ตอนดื่มกาแฟ ตอนรอผู้มาปรึกษา ระหว่างรออาหารที่ร้าน ตอนเข้าส้วม ฯลฯ ทุกที่ที่ผมไป ผมจะพกหนังสือติดตัวไปด้วย ไม่ถึงกับบังคับให้ตัวเองต้องการ ผมแค่อ่าน อ่าน และอ่านไปเรื่อย ๆผ่านมาเกือบหนึ่งเดือน ผมอ่านหนังสือไปแล้ว 13 เล่ม!
เขียนมาถึงตรงนี้ผมไม่ได้รู้สึกภูมิใจหรืออยากโอ้อวดอะไร เพราะผมไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องพิเศษที่ต้องใช้ความพยายามมาก ๆ ผลลัพธ์เป็นเพียงผลพลอยได้ แต่สิ่งที่สำคัญคือการลงมือทำสิ่งที่เป็นไปได้จริงในแต่ละวันและรู้สึกว่าตัวเองดีพอเมื่อจบวัน
ไม่ว่าเป้าหมายของคุณจะเกี่ยวข้องกับเรื่องใด ขอให้เริ่มต้นจากชีวิตจริงของคุณในวันนี้ วางคำว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่จะเป็นไปได้ลงก่อน และมองหาสิ่งที่ดีพอที่คุณทำได้จริง
เขียนไปเขียนมาบทความนี้เลยเป็นบทความที่ยาวที่สุดในรอบหลายปีของผม ถ้าไม่นับบทความวิชาการที่ไม่มีคนอ่าน แม้สาระอาจจะไม่มากเท่าความยาวของมันก็ตาม
การเขียนบทความให้สม่ำเสมอก็เป็นอีกหนึ่งความตั้งใจของผม แต่เพราะตั้งเป้าหมายไว้เกินจริงไปทั้งในแง่คุณภาพและปริมาณ ก็เลยกดดันจนไม่ได้เขียน บทความนี้ก็เลยออกมาอย่างที่ได้อ่านกันครับ คือเขียนตามใจนึกและไม่คาดหวังว่ามันจะต้องดี
เขียนมาถึงตรงนี้ ผมคิดขึ้นได้ว่าลืมอะไรบางอย่าง คงไม่ช้าเกินไปที่จะกล่าวกับทุกท่านว่า สวัสดีปีใหม่ ขอให้ปีนี้เป็นปีที่ท่านใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกว่าตัวเองดีพอในทุก ๆ วันนะครับ
ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ