ถ้าเราสามารถดูคำค้นยอดฮิตในความคิดของคนเราได้เหมือนกับ Search engine อย่าง Google คำถามว่า “ฉันควรทำยังไง?” น่าจะเป็นคำค้นติดอันดับต้น ๆ ของหมวดหมู่การแก้ปัญหา
คงไม่ต่างกับการค้นหาคำแนะนำในกระดานกระทู้บนโลกออนไลน์ บางปัญหาเราอาจรู้สึกว่าได้ประโยชน์จากข้อเสนอแนะต่าง ๆ ที่ช่วยให้พบแนวทางจัดการ ได้มุมมองใหม่ ๆ ให้เราได้นำไปต่อยอดได้เป็นอย่างดี
แต่บางบริบทปัญหา เรากลับพบว่าคำตอบหรือคำแนะนำที่ผู้อื่นหยิบยื่นมาให้ต่างเป็นสิ่งที่เราเองก็เคยคิดพิจารณามาแล้ว ส่วนมุมมองใหม่ ๆ ก็ดูจะประยุกต์ใช้กับปัญหาของเราไม่ได้
เมื่อเราต้องออกตามหาทางออกที่ใช่ต่อไป คำถามเดิมก็จะผุดกลับมา “ฉันควรทำยังไง?”
แต่หากเมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างปัญหาและทางแก้ไข จะพบว่าทางออกที่ใช่จะปรากฏขึ้นเมื่อปัญหาถูกระบุได้ชัด

สมมติว่ารถของคุณหยุดวิ่ง แล้วถามว่าควรทำยังไงต่อ ผู้คนอาจบอกว่าให้ลองทำอย่างนั้นอย่างนี้ตามประสบการณ์ที่พวกเขาพอจะมี แต่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องรถจะชวนคุณสำรวจก่อนว่ามีอะไรที่อาจเกี่ยวข้องกับอาการหยุดวิ่งของรถคุณ มันอาจเป็นน้ำมันหมด หรืออาจเป็นเครื่องร้อนจัด หรืออุปกรณ์บางส่วนเสียหาย และเมื่อระบุได้ ทางเลือกทางออกต่าง ๆ ก็จะปรากฏชัดขึ้นเองว่าคุณควรทำอะไรต่อ
ยกตัวอย่างเช่น พนักงานคนหนึ่งเบื่อหน่ายในการทำงานที่ต้องเจอลูกค้าเรื่องมากแก้งานอยู่ตลอด การหาทางออกให้กับความเบื่อนี้ไม่เคยสิ้นสุดเพราะเขาพบว่าทำอะไรกับลูกค้าไม่ได้ การเปลี่ยนงานก็ไม่ใช่สิ่งที่พร้อมจะทำ แต่เมื่อพบว่าความเบื่อหน่ายนี้มาจากความคิดตัดสินตนเองว่าไม่มีความสามารถซึ่งถูกกระตุ้นจากลูกค้า เขาก็จะพบว่าเขามีทางเลือกให้ตัวเองประเมินตัวเองในมุมที่ต่างออกไปได้
อีกบุคคลหนึ่ง รู้สึกปั่นป่วนกับความสัมพันธ์ที่อยู่เหนือการควบคุมเมื่ออีกฝ่ายดูจะไม่ชัดเจน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย รัก ๆ เลิก ๆ มา ๆ หาย ๆ ซึ่งดูจะไม่มีทางออกเลยที่จะทำให้สถานการณ์ความสัมพันธ์ดีไปกว่านี้ได้ แค่เมื่อได้ตระหนักว่าความปั่นป่วนนั้นมาจากความรู้สึกกังวลของตนเองว่าหากจบความสัมพันธ์แล้วจะรับมือกับผลกระทบที่เกิดขึ้นกับตัวเองไม่ได้ เช่น ความเศร้าที่ท่วมท้น อาการทางกายที่ส่งผลกับการทำหน้าที่การงาน รวมถึงพฤติกรรมที่ส่งผลเสีย เขาก็จะได้เห็นทางเลือกบรรเทาความปั่นป่วนดังกล่าว หากเขาเรียนรู้ที่จะรับมือกับกระทบดังกล่าวซึ่งอยู่ในอำนาจของเขามากกว่าการหาทางเปลี่ยนแปลงอีกฝ่าย
ดังนั้น ในกระบวนการจัดการปัญหาจึงอาศัยการทำความเข้าใจเพื่อต่อเติมเส้นทางไปสู่ประตูที่ใช่ มิใช่การชวนเปิดประตูไปทีละบานจนกว่าจะใช่ หรือการด่วนสรุปว่าประตูบานไหนคือใช่
อย่างไรก็ตาม ไม่มีข้อสรุปหรือตัวชี้วัดที่ชัดเจนว่าระหว่างการใช้ทรัพยากรเวลาและเรี่ยวแรงในการสุ่มเปิดประตูไปเรื่อย ๆ กับการทำความเข้าใจปัญหาเพื่อค่อย ๆ ลากเส้นไปสู่ประตูนั้น แบบไหนจะรวดเร็วหรือได้ผลกว่ากัน
อยู่ที่เราจะเลือกเดินทางไหนระหว่างการสุ่มและหวังว่าจะเจอทางออกโดยเร็ว กับการเดินบนเส้นทางที่กำหนดไม่ได้ว่าจะช้านานแค่ไหนโดยรับรู้เพียงว่าเรากำลังเข้าใกล้ทางออกไปทีละนิด