"เรารักดวงดาวมากเกินกว่าจะหวาดกลัวราตรี"
ประโยคที่แฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้งนี้ ถูกหยิบยกมาจากหนังสือ คอสมอส (Cosmos) ของ คาร์ล เซแกน (Carl Sagan) ซึ่งอ้างอิงถึงคำจารึกบนหลุมศพของนักดาราศาสตร์สมัครเล่นสองท่าน
ประโยคนี้สะท้อนให้เห็นถึงความจริงของชีวิตที่ว่า เมื่อเรารักสิ่งใด เราต้องยอมรับในทุกแง่มุมของสิ่งนั้น ไม่ใช่เพียงแค่ส่วนที่เราชื่นชอบเท่านั้น การเลือกที่จะมองเพียงด้านเดียวของสิ่งต่าง ๆ เป็นบ่อเกิดหนึ่งของความทุกข์ใจในชีวิต
ประโยคนี้ชวนให้ผมนึกถึงประเด็นความสัมพันธ์ที่ผู้คนมักนำมาปรึกษา นั่นคือ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายมองว่าคนรักของตนเปลี่ยนไป
ผมมองว่า หากเราปรารถนาที่จะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับใครสักคน เราต้องยอมรับความจริงที่ว่า ทั้งตัวเราและเขาคนนั้นอาจเปลี่ยนแปลงไปในวันหนึ่ง การปฏิเสธความจริงข้อนี้ทำให้คู่รักหลายคู่ต้องเผชิญกับความขัดแย้งและผิดหวังเมื่ออีกฝ่ายไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง นำไปสู่การเลิกรากันโดยที่ยังไม่สามารถปรับความเข้าใจกันได้อย่างแท้จริง
ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเห็นด้วยกับทุกสิ่งที่คนรักเป็น แต่เราต้องยอมรับตั้งแต่ต้นว่าอาจมีบางสิ่งที่เราไม่เห็นด้วย ความสัมพันธ์คือกระบวนการที่ไม่สิ้นสุด เราไม่อาจทำความรู้จักใครได้อย่างถ่องแท้ในระยะเวลาอันสั้น และแม้จะใช้เวลานานแค่ไหน ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะรู้จักเขาอย่างแท้จริง เพราะเราทุกคนล้วนเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
คู่รักหลายคู่ค้นพบในภายหลังว่าคู่ของตนเปลี่ยนไป ไม่เป็นอย่างที่ตัวเองเคยคิดในตอนแรก ซึ่งอีกฝ่ายก็อาจรู้สึกเช่นเดียวกัน
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น แต่อยู่ที่เราไม่ยอมรับว่ามันอาจเกิดขึ้นได้
เมื่อเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในความสัมพันธ์ สิ่งที่เราทำได้คือเผชิญหน้ากับมัน และร่วมกันค้นหาเส้นทางใหม่ในการเดินทางร่วมกัน หรือไม่ก็แยกทางกันไปด้วยความเข้าใจ แทนที่จะจมอยู่กับอดีตและกล่าวโทษว่าเป็นเพราะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเปลี่ยนไป
หากคุณปรารถนาที่จะมีความสัมพันธ์ คุณต้องไม่หวาดกลัวความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
เพราะความจริงไม่อาจแยกส่วนได้ และการเลือกมองเพียงบางส่วนนั้นไม่ใช่ความจริงทั้งหมด
Comments